ชื่อวงศ์ : IRIDACEAE
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Eleutherine americana (Aubl.) Merr.
ชื่อสามัญ : –
ชื่อพื้นเมืองอื่น : บ่อเจอ, เพาะบีเบ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ; ว่านไก่แดง, ว่านเข้า, ว่านหมาก (ภาคเหนือ) ; ว่านเพลาะ (เชียงใหม่) ; ว่านหอมแดง, หอมแดง (ภาคกลาง)
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ล้มลุก (ExH) มีหัวใต้ดินลักษณะรูปไข่ยาว คล้ายหัวหอมและแข็ง เปลือกหุ้มภายนอกหัวมีสีแดงจัด แต่กลิ่นไม่ฉุนเหมือนหัวหอม ลำต้นที่อยู่เหนือดินตั้งขึ้น โค้งหรือเอนนอนแต่ปลายโค้งขึ้น
ใบ เป็นใบเดี่ยว ลักษณะใบรีรูปขอบขนาน ปลายใบเรียวแหลม โคนใบสอบเรียว ขอบใบเรียบ และมีรอยจีบ แผ่นใบสีเขียวค่อนข้างบาง เส้นกลางใบและเส้นใบมีขนาดเท่าๆ กัน ออกขนานตามแนวยาวของแผ่นใบ โดยที่เส้นใบจะนูนเป็นสันสลับเป็นร่องกว้างทั้งด้านบนและด้านล่าง
ดอก ออกดอกเป็นช่อ ดอกมีจำนวน 4-10 ดอก แทงช่อสูงจากลำต้นใต้ดินขึ้นมาระหว่างกาบใบ ดอกมีสีขาวขนาดเล็ก คล้ายดอกดาวเรือง มีกลีบดอก 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง ซ้อนกันอยู่ เกสรเพศผู้มี 3 อัน สีเหลืองสดติดอยู่ที่โคนกลีบดอก เกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก สีเหลือง
ผล รูปขอบขนาน หัวตัด มี 3 ช่อง เมล็ดรูปรีอัดกันแน่น
นิเวศวิทยา
เกิดตามป่าดิบราบต่ำ นิยมปลูกเป็นไม้ประดับตามบ้านเรือนและใช้เป็นยา
การปลูกและขยายพันธุ์
สามารถปลูกได้ทุกฤดูกาล เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนปนทรายหยาบหรือดินร่วนทั่ว ๆ ไป ขยายพันธุ์ด้วยหัว หรือต้นที่เกิดใหม่
ประโยชน์ทางยา
รสและสรรพคุณในตำรายา
เหง้าหัวใต้ดิน รสร้อนปร่า หอม แก้หวัด แก้ลมในกระเพาะอาหาร ต้านมะเร็ง ต้านแบคทีเรีย ต้านเชื้อรา และลดการอักเสบ
ลำต้น รสหอมปร่า ขับเลือดในสตรี
ใบ รสเฝื่อน ใช้เป็นผักรับประทานได้
ดอก รสปร่าหอม แก้โรคตา แก้เด็กนอนสะดุ้ง ผวา
วิธีและปริมาณที่ใช้
- แก้อาการหวัด คัดจมูก หายใจไม่สะดวก และเป็นยาขับลมในลำไส้เด็ก แพทย์พื้นบ้านใช้เหง้าหัวใต้ดิน 3-5 หัวผสมกับว่านเปราะหอมปรุงเป็นยาสุมหัว
- แก้กลากเกลื้อนและโรคผิวหนัง โดยใช้เหง้าหัวใต้ดิน 5 หัว ล้างให้สะอาดโขลกให้ละเอียดผสมกับเหล้าโรงเล็กน้อย ใช้ทาและพอกบริเวณที่เป็น เช้า-เย็น น้ำยาที่ได้จากเหง้าหัวใต้ดินยังสามารถใช้ทาแผลเล็กๆ น้อยๆ แมลงกัดต่อย บดเป็นผงทาแก้ปวดท้องได้