อะโวกาโด (Avocado)

อะโวกาโด ผลไม้รูปทรงคล้ายลูกแพร์ เปลือกค่อนข้างหนา สีเขียวเข้ม ผิวขรุขระ เนื้อในผลสีเหลืองอ่อน มีเมล็ดแข็งขนาดใหญ่ 1 เมล็ด อะโวกาโดเป็นผลไม้ที่ไม่รู้จักแพร่หลายเท่าไรนักในบ้านเรา อาจเป็นเพราะว่ามีเนื้อค่อนข้างมัน รสชาติคล้ายเนย จึงไม่ค่อยถูกปากคนไทยที่มีผลไม้รสชาติหลากหลายให้เลือกกินกันได้ตลอดปี แต่สำหรับชาวยุโรปอะโวกาโดกลับเป็นผลไม้เลิศรส ทั้งกินเป็นผลไม้และใช้ประกอบอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารจำพวกสลัด

กรดโอเลอิกในอะโวกาโดหรือไขมันอิ่มตัวเชิงเดี่ยวสามารถลดระดับไขมันชนิดไม่ดี และทำให้ร่างกายได้รับไขมันชนิดดี ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงเป็นเกราะป้องกันช่วยให้ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจได้ ประโยชน์ของอะโวกาโดซึ่งถ้ารับประทานสลัดที่ใส่อะโวกาโดด้วย ไขมันในอะโวกาโดจะช่วยดูดซึมแคโรทีนอยด์จากผักอื่น ๆ สารลูทีนในอะโวกาโดมีประโยชน์ในการช่วยบำรุงสุขภาพประสาทตาสำหรับผู้ใหญ่ การกินอะโวกาโดร่างกายจะได้รับกรดโฟลิก ประมาณ 57 ไมโครกรัม โดยกรดโฟริกนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง และยังช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อทารกในครรภ์ด้วย จึงมีประโยชน์มากสำหรับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ ช่วยลดระดับสารโฮโมซิสเทอีน ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดโรคหัวใจ และยังได้รับใยอาหาร ช่วยลดความเสี่ยงอาการท้องผูกและทำให้สุขภาพลำไส้และระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ประโยชน์ของอะโวกาโดอีกมากมายอาทิเช่น ลดความเสี่ยงของภาวะหลอดเลือดแข็ง ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจ วิตามินอีสูง เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีและเป็นผลดีต่อสุขภาพผิว สามารถต้านสารมะเร็ง เพราะในอะโวกาโดมีสารกลูตาไทโอน มีน้ำตาลน้อย ผู้ป่วยเบาหวานสามารถรับประทานได้ แต่เพราะอะโวกาโดให้พลังงานสูง จึงควรจำกัดการรับประทาน

อะโวกาโดจะสุกก็ต่อเมื่อเก็บเกี่ยวลงมาจากต้นแล้ว โดยผลดิบจะมีรสขม เพราะมีสารแทนนินสูง จึงต้องวางทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง จนกว่าจะสุก แล้วค่อยนำไปกินหรือเก็บเข้าตู้เย็น และไม่ควรนำอะโวกาโดไปปรุงด้วยความร้อนสูง เพราะจะทำให้เกิดรสขมจากสารแทนนินได้ ส่วนเคล็ดลับที่จะทำให้เนื้ออะโวกาโดไม่ดำหลังจากผ่าแล้ว ก็เพียงนำไปคลุกกับน้ำมะนาวเท่านั้น

สิ่งที่น่าสนใจ