สตรอว์เบอร์รี่ (Strawberry)

สตรอว์เบอร์รี่ ไม้ผลที่แตกกอเป็นพุ่มเตี้ย ให้ผลรูปทรงคล้ายหัวใจ ซึ่งเป็นส่วนที่พัฒนามาจากฐานรองดอก มีเมล็ดติดอยู่กับผิวนอกเห็นเป็นจุดเล็กๆ อยู่รอบผล เมื่อผลสุกพร้อมเก็บเกี่ยวจะมีสีแดงสด กลิ่นหอม รสชาติหวานฉ่ำหรือหวานซ่อนเปรี้ยว สตรอว์เบอร์รี่จึงเป็นผลไม้ที่ชื่นชอบของคนทั่วโลก

สตรอว์เบอร์รี่เป็นแหล่งธรรมชาติที่ดีของสารต้านอนมูิลอิสระซึ่งประกอบไปด้วยวิตามินซี (เนื้อสตรอว์เบอร์รี่ ประมาณ 145 กรัม จะมีวิตามินซีถึงร้อยละ 160 ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน) สารแอนโทไซยานิน ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก (Phenolic acid) ในปริมาณที่สูงมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผลไม้ชนิดอื่น ๆ โดยวิตามินซีจะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวแข็งแรง ป้องกันหวัด รวมทั้งอาจช่วยกำจัดกรดยูริกและบรรเทาอาการของโรคเกาต์ และมีผลการวิจัยพบว่า แอนโทไซยานินสามารถลดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางประเภท และหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอกได้

ในเนื้อสตรอว์เบอร์รี่ มีกรดเอลลาจิก ที่ช่วยยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและต้านมะเร็งบางชนิด มีสารคอร์ซิติน (Quercetin) ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอาการอักเสบ ยับยั้งการหลั่งฮิสตามีนจึงลดอาการต่างๆ ที่เกิดจากภูมิแพ้ มีธาตุเหล็กที่สำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง กรดโฟลิกที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาระบบไขสันหลังของทารกในครรภ์ จึงมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อสตรีมีครรภ์ และสามารถลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ มีวิตามินเคที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเมื่อเกิดบาดแผล สตรอว์เบอร์รี่ยังมีเส้นใยอาหารสูง (ประมาณ 1.1 กรัม ต่อ น้ำหนักเนื้อ 100 กรัม) จึงดีต่อระบบขับถ่ายด้วย

สตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ใช้สารเคมีในขั้นตอนการปลูกสูงพอสมควร ก่อนกินผลสดจึงต้องล้างให้สะอาดทุกครั้ง ส่วนผู้ที่ชอบสตรอว์เบอร์รี่ แช่เย็น เมื่อนำออกมาจากตู้เย็นควรวางไว้ให้ปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิภายนอกประมาณ 10-20 นาที จะทำให้รสชาติหวานขึ้น ขอแถมเคล็ดลับง่ายๆ สำหรับคนที่อยากมีฟันขาวแบบประหยัด ให้นำสตรอว์เบอร์รี่สุก 1 ผลมาบดให้เข้ากับเบคกิงโซดาครึ่งช้อนชา แล้วใช้แปรงสีฟันแปรงเบาๆ ทิ้งไว้ 5 นาที จึงบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด เพียงเท่านี้กรดมาลิก (Marlic acid) ในสตรอว์เบอร์รี่ก็จะทำให้ฟันของคุณขาวชวนมอง แต่ก็ไม่ควรใช้บ่อยเกินไป เพราะกรดมาลิกอาจทำลายสารเคลือบฟันได้

สิ่งที่น่าสนใจ